วันอังคารที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2555

เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร



- สารสนเทศ หรือ Information หมายถึง ข้อมูล ข่าวสารที่ได้รับการตีความ จำแนก จัดเป็นหมวดหมู่แล้ว นำมาใช้ในการสื่อสารที่เป็นประโยชน์

- เทคโนโลยีสารสนเทศ หรือ IT เป็นเทคโนโลยีที่สำคัญ มีความเกี่ยวข้องกับการจัดเก็บ การประมวลผล และการแสดงผลสารสนเทศ

- องค์ประกอบหลักของเทคโนโลยีสารสนเทศ

ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ

- เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์

- เทคโนโลยีโทรคมนาคม

1. เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์

จัดเป็นเทคโนโลยีหลักของเทคโนโลยีสารสนเทศ เนื่่องจากมีการบันทึก การจัดเก็บ การประมวลผล การแสดงผล และการสืบค้นข้อมูล แบ่งย่อยเป็น 2 ส่วน คือ เทคโนโลยีฮาร์ดแวร์ และเทคโนโลยีซอฟต์แวร์
- เทคโนโลยีฮาร์ดแวร์ หมายถึง อุปกรณืทุกชนิดที่ประกอบขึ้นเป็นตัวเครื่อง สามารถมองเห็นและสัมผัสได้ ทำงาน 4 ส่วน คือ
1) หน่วยรับข้อมูล
2) หน่วยประมวลผลกลาง หรือ ซีพียู
3) หน่วยแสดงผลข้อมูล ( Output Unit )
4) หน่วยความจำสำรอง ( Secondary Storage Unit )
- เทคโนโลยีซอฟต์แวร์
โปรแกรมหรือชุดคำสั่งที่ทำหน้าที่สั่งให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานตามที่ผู้ใช้ต้องการ แบ่งเป็น 2ประเภท คือ
- ซอฟต์แวร์ระบบ (System Softwear )
ชุดคำสั่งที่ทำหน้าที่สั่งให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานตามคำสั่ง
- ซอฟต์แวร์ประยุกต์ ( Application Softwear )
ชุดคำสั่งที่ออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งาน
2. เทคโนโลยีโทรคมนาคม
เทคโนดลยีที่ใช้ติดต่อสื่อสารกันทั่วไป เช่นระบบโทรศัพท์ ระบบดาวเทียม ระบบเครือข่ายเคเบิล
พัฒนาการของเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการสื่อสาร
ยุคที่ 1 การประมวลผลข้อมูล มีวัตถุประสงค์เพื่อการคำนวณและการประมาลผล
ยุคที่ 2 การบริหารจัดการ มีการใช้คอมพิวเตอร์ช่วยในการตัดสินใจ ควบคุบการดำเนินงาน
ยุคที่ 3 การจัดการทรัพยากรสารสนเทศ มีการใช้ในการช่วยตัดสินใจจำหน่ายงานไปสู่ความสำเร็จ
ยุคที่ 4 ยุคปัจจุบัน มีการใช้ระบบคอมพิวเตอร์และระบบการสื่อสารโทรคมนาคมเป็นเครือข่ายในการช่วยจัดทำระบบสารสนเทศ
ประโยชน์ของเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษา
1. ให้ความรู้ เกิดความคิดและความเข้าใจ
2. ใช้ในการวางแผนการบริหารงาน
3. ใช้ประกอบการตัดสินใจ
4. ใช้ในการควบคุมสถานการณ์ หรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
5. เพื่อให้งานบริหารมีระบบ
ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสารสนเทศ



รูปแบบเทคโนโลยีสารสนเทศในปัจจุบัน

จำแนกตามการใช้ เป็น 6 แบบ ดังนี้

1) เทคโนโลยีที่ใช้เก็บข้อมูล เช่น ดาวเทียมถ่ายภาพทางอากาศ , กล้องดิจิทอล

2) เทคโนโลยีที่ใช้บันทึกข้อมูล เป็นสื่อบันทึกข้อมูลต่างๆ เช่น เทปแม่เหล็ก , จานแม่เหล็ก , บัตรเอทีเอ็ม

3) เทคโนโลยีที่ใช้ประมวลผลข้อมูล ได้แก้ เทคโนโลยีคอมพิวเตอรื ทั้งฮาร์ดแวร์ และซอฟต์แวร์

4) เทคโนโลยีที่ใช้แสดงผลข้อมูล เช่น เครื่องพิมพ์ , จอภาพ

5) เทคโนโลยีที่ใช้ในการจัดทำสำเนาเอกสาร เช่น เครื่องถ่ายเอกสาร

6) เทคโนโลยีสำหรับถ่ายทอดหรือสื่อสารข้อมูล ได้แก่ ระบบโทรคมนาคม เช่น โทรทัศน์ , วิทยุกระจายเสียง



การใช้อินเทอร์เน็ต

งานวิจัยพฤติกรรมของนักศึกษา พบว่า นักศึกษาใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อความบันเทิงเนื่องจากเห็นว่ามีความสะดวกสบาย

การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศกับการเรียนการสอน

-การเรียนรู้แบบออนไลน์ ( e- Learning )

- บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ( Computer Assisted Intruction -CAI )

-วีดีทัศน์ตามอัธยาศัย ( Video on Demand )

- หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ ( E-books)

การเรียนรู้แบบออนไลน์ (e -Leaning )

เป็นการศึกษาเรียนรู้ผ่านระบบคอมพิวเตอร์ เป็นการเรียนรู้ด้วยตนเองตามความสนใจ โดยเนื้อหาประกอบไปด้วย ข้อความ รูปภาพ เสียง วีดีโอ โดยผู้เรียนและผู้สอนสามารถแลกเปลี่ยนความคิดได้อาศัยเครื่องมือการติดต่อสื่อสาร
บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน
( Computer Assisted Instruction / CAI )
คือ บทเรียนคอมพิวเตอร์ซึ่งนำเสนอสารสนเทศที่ได้ผ่านกระบวนการสร้างและพิจารณาอย่างดี ซึ่งจะนำเสนอในรูปมัลติมีเดีย ประกอบด้วย อักษร รูปภาพ เสียง โดยอาศัยพฤติกรรมการเรียนรู้( Learning Behavior) ทฤษฎีการเสริมแรง ( Reinforceme Theory ) โดยมีจุดมุ่งหมายให้ผู้เรียนมีการเรียนที่มีประสิทธิภาพ
- วีดิทัศน์ตามอัธยาศัย
คือ ระบบเรียกดูภาพยนต์ตามสั่งที่จะอำนวยความสะดวก สามารถเลือกดูภาพยนต์ ข้อมูลภาพเคลื่อนไหวพร้อมเสียงได้ตามต้องการดดยสามารถใช้งานนี้ได้จากเครื่องช่วยสื่อสาร ผู้ใช้งานซึ่งอยู่หน้าลูกข่าย สามารถเรียกดูข้อมูลที่เป็นภาพเคลื่อนไหวได้ทุกความต้องการ โดยสามารถย้อนกลับ ( rewind ) หรือกรอไปข้างหน้า ( Forword )

- หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ ( E-book )
หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถอ่านได้ทางอินเทอร์เน็ต โดยมีเครื่องมือที่จำเป็น คือ ฮาร์ดแวร์ ประเภทเครื่องคอมพิวเตอร์แบบพกพาพร้อมทั้งติดตั้งซอฟต์แวร์ที่ใช้อ่านข้อความ ลักษณะไฟล์ของ e-book สามารถเลือกได้ 4รูปแบบ คือ HTML , PDF , PML , XML
- ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์ ( E- library )
เป็นแหล่งความรู้ที่บันทึกข้อมูลไว้ในเครื่องคอมพิวเตอร์แม่ข่ายและให้บริการสารสนเทศ
มีคุณสมบัติ คือ
1) การจัดการทรัพยากรสารสนเทศด้วยคอมพิวเตอร์
2) ความสามารถในการเข้าถึงสารสนเทศโดยอิเล็กทรอนิกส์
3) ความสามารถในการจัดเก็บ รวบรวมและนำสารสนเทศสู่ผู้ใช้
การสืบค้นข้อมูลสารสนเทศ



การใช้ระบบสารสนเทศเพื่อการค้นหาข้อมูลและสารสนเทศ เฉพาะเรื่องที่ผู้ใช้ระบุแหล่งรวบรวมสารสนเทศ เพื่อเป็นประโยชน์ด้านต่างๆ

วัตถุประสงค์ในการสืบค้นข้อมูล

1. เพื่อทราบรายละเอียดของข้อมูล

2. เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการศึกษาหรือทำงาน

3. เพื่อสร้างการเรียนรู้ให้กับตนเองและผู้อื่น

4. เพื่อตรวจสอบข้อมูล

5. เพื่อการนำข้อมูลที่ได้ไปใช้ในชีวิตประจำวัน

สามารถสืบค้นข้อมูลได้จากแหล่งใดบ้าง

Search Engine

หมายถึง เครื่องมือ หรือเว็บไวต์ที่อำนวยความสะดวกในการสืบค้นให้แก่ผู้ใช้ หมายถึง โปรแกรมที่ออกแบบเพื่อเป็นเครื่องมือสำหรับใช้ค้นหาข้อมูลบนเว็บไซต์

แบ่งเป็น 3 ประเภท

1. อินเด็กเซอร์ ( Indexers )

จะมีโปรแกรมช่วยจัดการหาข้อมูลในการค้นหาหรือที่เรียกว่า Robot วิ่งไปมาในอินเทอร์เน็ตโดยอัตโนมัติ เพื่ออ่านข้อมูลจากเว็บเพจ

ตัวอย่างของเว็บ

- http:// www.altavista.com

- http:// www.hotbot.com

- http:// www.excite.com

2. ไดเร็กเทอรี ( Directories )

จะใช้การเก็บข้อมูลโดยแบ่งออกเป็นหมวดหมู่ สามารถเลือกดูหมวดหมู่ใหญ่ แล้วดูหมู่ย่อย โดยจะแสดงรายละเอียดเกี่ยวกับตำแหน่ง URL และรายละเอียดของ URL

ตัวอย่างเว็บ

- http:// www.yahoo.com

- http:// www.looksmart.com

- http:// www.siamguru.com

3. เมตะเสิร์ช ( Metaseach )

ใช้หลายวิธีการใช้หาข้อมูล โดยจะรับคำสั่งค้นหาจากเรา แล้วไปยังเว็บไซต์ที่เป็น Search Engine ทำให้เข้าถึงเว็บไซต์ได้อย่างรวดเร็ว

ตัวอย่างเว็บ

- http:// www.dogpile.com
- http:// www.profution.com
- http:// www.thaifind.com

เว็บไซต์ที่ได้รับคำนิยม
Yahoo
เป็นเว็บไซต์ที่ให้บริการแบบไดเร็กเทอรีเป็้นรายแรกในอินเทอร์เน็ต และมีผู้ใช้งานสูงสุด เพราะมีการจัดเก็บข้อมูลอย่างเป็นระเบียบ
Altavista
มีฐานข้อมูลที่มีขนาดใหญ่ โดยมีเว็บเพจอินเด็กซ์ เป็นจำนวนมากกว่า 150ล้านเว็บ เพจที่สามารถใช้หาข้อมูลได้
Excite
มัเว็บไซค์จำนวนมาก โยจะทำการค้นหาข้อมูลจาก World wide wed
Hotdoot


เป็นเว็บไซค์มีจุดเด่นที่สามารถกำหนดเงื่อนไขขั้นสูงได้ง่ายกว่าเครื่องมืออื่นๆ

Go.com

เป็นเว็บไซคืที่มีการนำเสนอข่าวทันเหตุการณ์ จากแหล่งข่าวต่างๆตลอดจนข่าวด้าานบันเทิงยังมีการรายงานข้อมูลเกี่ยวกับตลาดหุ้น

Lycos

มีขนาดใหญ่มากมีคลังข้อมูลมากกว่า 1,500,000ไซต์ โดยมีระบบการค้นหาข้อมูลที่รวดเร็ว

Look smart

เกิดจากชาวออสเตรเลีย 2 คนไม่พอใจต่อการค้นหาข้อมูลในอินเตอร์เนตจึงไปขอความช่วยเหลือจาก Read'Digest ทั้งสองจึงสร้างเว็บไซต์ที่คำนึงถึงความสะดวกของผู้อื่นใช้

WebCrawler

เป็นเว้บไซต์ที่มีคลังข้อมูลอยู่ในระดับปานกลาง จะข้อจำกัดก็คือ ใช้ค้นหาข้อมูลที่เป็นวลีหรือข้อความไม่ได้ ได้เฉพาะเป็นคำๆ

Dog pile

เป็นเว็บไซต์ประเภทเมตะเสิร์ชที่ใช้งานง่าย

Ask jeeves

สามารถถามคำถามที่อยากรู้ไปในช่องกรอกข้อความ โดยคลิกปุ่ม Ask แล้ว Ask leeves จะไปทำการค้นหาคำตอบ (Answer)
Profusion
เป็นแบบเมตะเสิร์ช โดยเราสามารถเลือกได้ว่าใช้ search engine ใดในการค้นหา
Siamguru.com
ภายใต้สมญานามว่า "เสิร์ชไทยพันธุืแท้" โดยให้บริการค้นหาข้อความแบบธรรมดาและพิเศษ ค้นหาภาพ ค้นหาเพลง นักร้องต่างๆ โดยใช้เทคนิคที่มีประสิทธิภาพที่สุดสำหรับการค้นการค้นหาภาษาไทย มีการเก็บข้อมุลใหม่ๆตลอดเวลา

วันเสาร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2555


คอมพิวเตอร์และระบบคอมพิวเตอร์
คอมพิวเตอร์ หมายถึง เครื่องมือหรืออุปกรณ์ประเภทอิเล็กทรินิกสที่ทำงานด้วยคำสั่ง ชุดคำสั่ง หรือโปรแกรมต่างๆ สามารถเชื่อมต่อกันเป็นเครือข่ายได้หลายแบบ ลักษณะเด่นของคอมพิวเตอร์คือมีศักยภาพสูงในการคำนวณประมวลผลข้อมูลทั้งที่เป็นตัวเลข รูปภาพ ตัวอักษร และเสียง
คอมพิวเตอร์ฮาร์ดแวร์
หมายถึง ส่วนที่ประกอบเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ แบ่งออกเป็น 5 สว่นคือ
สว่นที่ 1 หน่วยรับข้อมูลเข้า Input unit
เป็นวัสดุอุปกรณ์ที่นำมาเชื่อมต่อ ทำหน้าที่ป้อนสัญญาณเข้าสู่ระบบ เพื่อกำหนดให้คอมพิวเตอร์ทำงานตามความต้องการ ได้แก่
-แป้นอักขระ keyboard
-แผ่นซีดี cd-rom
-ไมโครโฟน microphone เป็นต้น
ส่วนที่2 หน่วยประมวลผลกลาง central processing unit
ทำหน้าที่เกี่ยวกับการคำนวณทั้งทางตรรกะและคณิตศาสตร์ รวมถึงการประมวลข้อมูลตามคำสั่งที่ได้รับ
สว่นที่3 หน่วยความจำ memmory unit
ทำหน้าที่ที่เก็บข้อมูลหรือคำสั่งที่ส่งมาจากหน่วยรับข้อมูลเพื่อเตรียมส่งไปประมวลผลยังหน่วยประมวลผลกลาง และเก็บผลลัพธ์ที่ได้จากการประมวลผลแล้วเพื่อเตรียมส่งไปยังหน่วยแสดงผล
ส่วนที่ 4 หน่วยแสดงผล output unit
ทำหน้าที่แสดงข้อมูลที่คอมพิวเตอร์ทำการประมวลผล หรือผ่านการคำนวณแล้ว
ส่วนที่ 5 อุปกรณ์ต่อพ่วงอื่นๆ peripheral equipment
เป็นอุปกรณ์ที่นำมาต่อพ่วงเข้ากับเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้มากยิ่งขึ้น เช่น โมเด็ม modem แผงวงจรเชื่อมต่อเครือข่าย เป็นต้น

ประโยชน์ของคอมพิวเตอร์
1. มีความเร็วในการทำงานสูง สามารถประมวลผลคำสั่งได้รวดเร็วเพียงชั่ววินาที จึงใช้ในงานคำนวณต่างๆได้อย่างรวดเร็ว
2. มีประสิทธิภาพในการทำงานสูง ทำงานได้ตลอด 24 ชั่วโมง ใช้แทนกำลังคนได้มาก
3. มีความถูกต้องแม่นยำ ตามโปรแกรมสั่งงานและข้อมูลที่ใช้
4.เก็บข้อมูลได้มาก ไม่เปลืองเนื้อที่เก็บเอกสาร
5. สามารถโอนย้ายข้อมูลจากเครื่องหนึ่งไปยังเครื่องหนึ่งผ่านระบบเครือข่ายได้อย่างรวดเร็วช่วยอำนวยความสะดวกในการใช้งาน

ระบบคอมพิวเตอร์
หมายถึง กรรมวิธีที่คอมพิวเตอร์ทำการใดๆกับข้อมูลของมันให้อยู่ในรูปแบบที่เป็นประโยชน์ตามความประสงค์ของผู้ใช้งานให้มากที่สุด เช่น ระบบภาษี ระบบทะเบียนราษฎ์ ระบบทะเบียนการค้า ระบบเวช ระบบของโรงพยาบาล เป็นต้น
การเข้าถึงข้อมูลเหล่านี้สามารถเข้าถึงได้โดยการตรวจสอบจากการประมวลผลของระบบคอมพิวเตอร์จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

องค์ประกอบที่สำคัญของระบบคอมพิวเตอร์
ระบบคอมพิวเตอร์ที่สามารถทำงานอย่างมีประสิทธิภาพจะประกอบด้วยสว่นที่สำคัญ 4 ส่วน ดังนี้
1. ฮาร์ดแวร์ hardware
2. ซอฟแวร์
3.ข้อมูล
4.บุคลากร

ฮาร์ดแวร์ hardware
หมายถึง ตัวเครื่องและอุปกรณืส่วนต่างๆที่เราสามารถสัมผัสและจับต้องได้ ฮาร์ดแวร์ประกอบด้วยส่วนสำคัญ 4 ส่วน ดังนี้คือ
1 ส่วนประมวลผล processor
2. หน่วยความจำ memory
3.อุปกรณ์รับข้าและส่งออก
4. อุปกรณ์หน่วยเก็บข้อมูล storage divic
สว่นที่1 cpu
มีหน้าที่หลักในการควบคุมการทำงานของคอมพิวเตอร์ ประมวณผลและเปรียบเทียบข้อมูลโยการเปลียนแปลงข้อมูลดิบและแปลงให้เป็นสารสนเทศที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้
ความสามารถของ ซีพียู นั้นพิจารณาจากการทำงาน การรับส่งข้อมูล อ่านและเขียนข้อมูลในหน่วยความจำ ความเร็วของซีพียู ขึ้นอยู่กับให้จังหวะที่เยกว่า สัญญาณนาใก เป็นความเร็วของจำนวนรอบสัญญาณใน 1 วินาทีมีหน่วยเป็น เฮิร์ตซ์ เช่น สัญญาณความเร็ว 1 ล้านรอบใน 1 วินาที
ส่วนที่2 หน่วยความจำ memory
จำแนกออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้

1. หน่วยความจำหลัก main
2. หน่วยความจำสำรอง sec

1. หน่วยความจำหลัก
เป็นหน่วยเก็บข้อมูลและคำสั่งต่างๆของเครื่องคอมพิวเตอร์ ประกอบด้วย
ชุดความจำข้อมูลที่สามารถบอกตำแหน่งที่เก็บข้อมูลหรือบอกคำสั่ง ข้อมูลจะถูกนำไปเก็บไว้และสามารถนำออกมาใช้ในการประมวลผลภายหลัง โดย ซีพียู ทำหน้าที่ในการนำข้อมูลเข้าและออกมาจากหน่วยความจำ
การทำงานของคอมพิวเตอร์ ต้องใช้พื้นที่ของหน่วยความจำในการทำงานของประมวลผลและเก็บข้อมูล ขนาดของความจุของหน่วยความจำ คำนวณได้จากค่าจำนวนพื้นที่ที่สามารถใช้ในการเก็บข้อมูล จำนวนพื้นที่คือจำนวนข้อมูล และขนาดของโปรแกรมที่สามารถเก็บข้อมูลได้สูง

หน่วยประมวลผลกลาง
หน่วยประมวลผลกลางหรือ ซีพียู มีความหมายทางด้านฮาร์ดแวร์ 2 อย่างคือ
1. ซิป ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของคอมพิวเตอร์
2. ตัวกล่องเครื่องมีซีพียู บรรจุอยู่


หน่วยความจำหลัก แบ่งได้ 2 ประเภท คือ หน่วยความจำแบบ แรม (ram) และหน่วยความจำแบบ รอม (rom)

1.หน่วยความจำแบบแรม (ram) เป็นหน่วยความจำที่ต้องการอาศัยกระแสไฟฟ้าเพื่อรักษาข้อมูล ข้อมูลหรือแฟ้มข้อมูลจะถูกเก็บไว้ชั่วคราวขณะทำงาน ข้อมูลที่อยู่ในหน่วยความจำจะอยู่ได้นานจนกว่าจะปิดเครื่อง เราเรียกหน่วยความจำประเภทนี้ว่า หน่วยความจำแบบลบเลือนได้ (viatile memory)
2.หน่วยความจำแบบรอม (rom) เป็นหน่วยความจำที่ใช้เก็บโปรแกรมหรือข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับคอมพิ้วเตอร์ เป็นความจำถาวรที่ไม่สามารถลบเลือนได้


2.หน่วยความจำสำรอง (secondary memory unit)
หน่วยความจำสำรองหรือหน่วยเก็บข้อมูลรอง เป็นหน่วยเก็บข้อมูลที่สามารถรักษาข้อมูลได้ตลอดไปหลังจากเราปิดเครื่องคอมพิวเตอร์แล้ว

หน่วยความจำสำรองมีหน้าที่หลักคือ
1.ใช้ในการเก็บข้อมูลหรือสำรองข้อมูลเพื่อใช้ในอนาคต
2.ใช้ในการเก็บข้อมูลโปรแกรมได้อย่างถาวร
3.ใช้เป็นสื่อในการส่งผ่านข้อมูลระหว่างเครื่องหนึ่งไปยังอีกเครื่องหนึ่ง


ประโยชน์หน่วยความจำสำรอง
จะช่วยแก้ไขปัญหาการสูญหายของข้อมูลอันเนื่องมาจากไฟฟ้าดับเพราะข้อมูลต่างๆที่ส่งเข้ามาประมวลผล เมื่อเรียบร้อยแล้วผลลัพธ์ที่ได้ถูกนำไปเก็บในความจำหลักประเภทแรม หากปิดเครื่องหรือมีปัญหาทางไฟฟ้า อาจทำให้ข้อมูลสูญหายจึงจำเป็นต้องมีหน่วยความจำรอง เพื่อนำข้อมูลจากหน่วยความจำแรมมาเก็บไว่ใช้งานในครั้งต่อไป หน่วยความจำประเภทนี้ส่วนใหญ่จะพบในรูปแบบของสื่อที่ใช้ในการบันทึกข้อมูลภายนอก เช่น ฮาร์ดดิสก์ แผ่นบันทึก ชิปดิสก์ ซีดีรอม ดีวีดี เทปแม่เหล็ก หน่วยความจำแบบเเฟลช หน่วยความจำรอง ถึงไม่มีอยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ก็ยังสามารถทำงานได้ปกติ



ส่วนแสดงผลข้อมูล
ส่วนแสดงผลข้อมูล คือ ส่วนที่แสดงข้อมูลจากสัญาณไฟฟ้าในหน่วยประมวลผลกลางให้เป็นรูปแบบที่คนเราสามารถเข้าใจได้อุปกรณ์ที่แสดงผลข้อมูล ได้แก่ จอภาพ (monitor หรือ screen) เครื่องพิมพ์ (printer) เครื่องพิมพ์ภาพ (ploter) และลำโพง (speaker ) เป็นต้น



บุคลากรคอมพิวเตอร์ (peopleware)

บุคลากรคอมพิวเตอร์ (peopleware) หมายถึง คนที่มีความรู้ความสามารถในการใช้หรือควบคุมให้การใช้คอมพิวเตอร์เป็นไปอย่างราบรื่นอาจประกอบด้วยคนเพียงคนเดียวหรือหลายคนช่วยกันรับผิดชอบโครงสร้างของหน่วยงานคอมพิวเตอร์


ประเภทบุคลากรทางคอมพิวเตอร์ (peopleware)

1.ฝ่ายวิเคราะห์และออกแบบระบบงาน
2.ฝ่ายเกี่ยวกับโปรแกรม
3.ฝ่ายปฏิบัติงานเครื่องและบริการ





บุคลากรในหน่วยงานทางคอมพิวเตอร์
1.หัวหน้าหน่วยงานคอมพิวเตอร์ edp manager
2.หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์และวางแผนระบบงาน sytem analyst หรือ sa
3.โปรแกรมเมอร์ programmer
4.ผู้ควบคุมเครื่องคอมพิวเตอร์
5.พนักงานปฏิบัติงาน


-นักวิเคราะห์ระบบงาน
ทำการศึกษาระบบงานเดิมออกแบบระบบงานใหม่
-โปรแกรมเมอร์
นำระบบงานใหม่ที่นักวิเคราะห์ระบบออกแบบไว่มาสร้างเป็นโปรแกรม
-วิศวกรรมระบบ
ทำหน้าที่ออกแบบ สร้างซ่อมบำรุง และดูแลรักษาฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์ให้สามารถทำงานได้ตามต้องการ
-พนักงานปฏิบัติการ
ทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่หรือภารกิจประจำวัน ที่เกี่ยวข้องกับคอวพิวเตอร์





1.ผู้จัดการระบบ system manager
คือ ผู้วางนโยบายการใช้คอมพิวเตอร์ให้เป็นไปตามเป้าหมายของหน่วยงาน
2.นักวิเคราะห์ระบบ system analyst
คือ ผู้ที่ศึกษาระบบงานเดิมหรืองานใหม่และทำการวิเคราะหืความเหมาะสม ความเป็นไปได้ในการใช้คอมพิวเตอร์กับระบบงาน เพื่อให้โปรแกรมเมอร์เป็นผู้เขียนโปรแกรมให้กับระบบงาน
3.โปรแกรมเมอร์ programmer
คือ ผู้เขียนโปรแกรมคำสั่งงานเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อให้ทำงานตามความต้องการของผู้ใช้ โดยเขียนตามแผนผังที่นักวิเคราห์ระบบได้เขียวนไว้

4.ผู้ใช้ user
คือ ผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์ทั่วไปซึ่งต้องเรียนรู้วิธีการใช้เครื่อง และวิธีการใช้เครื่องและวิธีการใช้งานโปรแกรม เพื่อให้โปรแกรมที่มีอยู่สามารถทำงานได้ตามต้องการ



ซอฟต์แวร์ (software)


ซอฟต์แวร์ หมายถึง การลำดับขั้นตอนการทำงานของคำสั่งที่จะนำหน้าที่สั่งคอมพิวเตอร์ว่าให้ทำอะไร เป้นชุดโปรแกรมหลายๆดปรแกรมให้สามารถทำงานได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ตามที่ต้องการ เราไม่สามารถมองเห็นหรือสัมผัสไม่ได้แต่เราสามารถสร้างได้ จัดเก็บ และนำมาใช้งานหรือเผยแพร่ได้ด้วยสื่อหลายชนิดเช่น แผ่น บันทึก แผ่นซีดี แฟล็ชไดร์ฟ ฮาร์ดดิสก์ เป็นต้น


หน้าที่ของซอฟต์แวร์


ซอฟต์แวร์ทำหน้าที่เป็นตัวเชื่อมระหว่างผู้ใช้คอมพิวเตอร์และเครื่องคอมพิวเตอร์ ถ้าไม่มีซอฟต์แวร์เราไม่สามารถใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำอะไรได้เลย ซอฟต์แวร์สำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์สามารถแบ่งออกได้เป็นหลายประเภท

ประเภทของซอฟต์แวร์


ซอฟต์แวร์แบ่งออกเป็น 3 ประเภทใหญ่ๆ คือ ซอฟแวร์ระบบ (system software)
ซอฟต์แวร์ประยุกย์ (appication software) และ ซอฟต์แวร์ใช้งานเฉพาะ
1.ซอฟแวร์ระบบ (system software)
ซอฟแวร์ระบบ (system software) เป็นโปรแกรมที่บริษัทผู้ผลิตสร้างขึ้นมาเพื่อใช้จัดการระบบ หน้าที่การทำงานของซอฟต์แวรืระบบ คือ ดำเนินงานพื้นฐานต่างๆของระบบคอมพิวเตอร์ เช่น รับข้อมูลจากแผงแป้นอักขระแล้วแปลความหมายให้คอมพิวเตอร์เข้าใจ นำข้อมูลไปแสดงผลบนจอหรือนำออกไปยังเครื่องพิมพ์ จัดการข้อมูลในระบบแฟ้มข้อมูลบนหน่วยความจำสำรอง
ซอฟแวร์ระบบ (system software) หรือโปรแกรมที่รู้จักกันดีคือ Dos, windows, unix, linux รวมทั้งโปรแกรมแปลคำสั่งที่เขียนในภาษาระดับสูง เช่า ภาษา basic, fortran, pascal, coboi, c เป็นต้น
นอกจากนี้โปรแกรมที่ใช้ในการตรวจสอบระบบเช่น norton's uilities ก็นับเป็นโปรแกรมสำหรับระบบด้วยเช่นกัน


หน้าที่ของซอฟแวร์ระบบ (system software)

1.ใช้ในการจัดการหน่วยรับเข้าและหน่วยส่งออก เช่น รับรู้การกดแป้นพิมพ์ต่างๆบนแผงแป้นอักขระ ส่งรหัสตัวอัการออกทางจอภาพหรือเครื่องพิมพ์ ติดต่ออุปกรณ์รับเข้าแล้วส่งออกอื่นๆเช่น เมาส์ ลำโพง เป็นต้น

2.ใชในการจัดการหน่วยความจำเพื่อนำข้อมูลจากแผ่นบันทึกมาบรรจุยังหน่วยความจำหลัก หรือในทำนองกลับกัน คือนำข้อมูลจากหน่วยความจำหลักมาเก็บไว้ในแผ่นบันทึก

3. ใช้เป็นตัวเชื่อมต่อระหว่างผู้ใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ เพื่อให้สามารถใช้งานได้ง่ายขึ้น เช่น การขอดูรายการในสาระบบ (directory) ในแผ่นบันทึก การทำสำเนาแฟ้มข้อมูล

ซอฟต์แวร์ระบบพื้นฐาน ที่เห็นทั่วไป แบ่งออกเป็น ระบบปฏิบัติการและตัวแปลภาษา


ประเภทของซอฟต์แวร์ระบบ แบ่งเป็น 2 ประเภทคือ

1.ระบบปฏิบัติการ (operratting system ; os)

2.ตัวแปลภาษา


1.ระบบปฏิบัติการ (operratting system ; os) เป็นซอฟต์แวร์ที่ใช้มนการดูแลระบบคอมพิวเตอร์ เครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องจะต้องมีซอฟต์แวร์ระบบปฏิบัติการนี้ ระบบปฏิบัติการที่นิยมใช้กันมากและเป็นที่รู้จักดีเช่น ดอส วินโดว์ ยูนิกส์ ลีนุกซ์ และแมคอินทอช เป็นต้น

1.1 ดอส (disk operrating system ; dos) เป็นซอฟต์แวร์จัดระบบงานที่พัฒนามานานแล้ว การใช้งานจึงใช้คำสั่ง ดอสเป็นซอฟต์แวร์ที่รู้จักกันดีในหมู่ผู้ใช้ไมโครคอมพิวเตอร์ในอดีต ปัจจุบันระบบปฏิบัติการดอสนั้นมีการใช้งานน้อยมาก
1.2 วินโดว์ (windows) เป็นระบบปฏิบัติการที่พัฒนาต่อจากดอส โดยให้ใช้สามารถสั่งงานได้จากเมาส์มากขึ้นแทนการใช้แผงแป้นพิมพ์อักขระเพียงอย่างเดียว นอกจากนี้ระบบปฏิบัติการวินโดว์ยังสามรถทำงานหลายงานพร้อมกันได้ ดดยแต่ละงานจะอยู่ในกรอบช่องหน้าต่างบนจอภาพ การใช้งานเน้นรูปแบบกราฟิก ผู้ใช้สามารถใช้เมาส์เลื่อนตัวชี้เพื่อเลือกตำแหน่งที่ปรากฏบนจอภาพ ทำให้คอมพิวเตอร์ได้ง่าย ระบบปฏิบัติการวินโดว์ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน


1.3 ยูนิกส์ (unix) เป็นระบบปฏิบัติการที่พัฒนามาตั้งแต่ครั้งใช้กับเครื่องมินิคอมพิวเตอร์ ระบบปฏิบัติการยูนิกส์เป็นระบบปฏิบัติการที่เป็นเทคโนโลยีแบบเปิด (open system) ซึ่งเป็นแนวคิดที่ผู้ใช้ไม่ต้องผูกติดกับระบบใดระบบหนึ่งหรือใช้อุปกรณ์ที่มียี่ห้อเดียวกัน ยูนิกส์ยังถูกออกบบมาเพื่อตอบสนองการใช้งานในลักษณะที่มีผู้ใช้ได้หลายคนในเวลาเดียวกันที่เรียกว่า ระบบหลายผู้ใช้ (muitiusers) ระบบปฏิบัติการยูนิกส์จึงนิยมใช้กับเครื่องที่เชื่อมโยงเป็นเครือข่าย เพื่อใช้งานร่วมกันหลายๆเครื่องพร้อมกัน

1.4 ลีนุกซ์ (linux) เป็นระบบปฏิบัติการที่พัฒนามาจากระบบยูนิกส์ เป็นระบบซึ่งมีการแจกจ่าย
โปรแกรมต้นฉบับให้นักพัฒนาช่วยพัฒนาคุณสมบัติของระบบปฏิบัติการ ระบบปฏิบัติการลีนุกส์เป็นที่นิยมกันมากขึ้นในปัจจุบัน เนื่องจากมีโปรแกรมประยุกต์ต่างๆที่ทำงานบนระบบลีนุกซ์จำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งโปรแกรมในกลุ่มของกูส์นิว (gnu) และสิ่งสำคัญที่สุดก็คือระบบของลีนุกซ์เป็นระบบปฏิบัติการประเภทแจกฟรี (free ware) ผู้ใช้สามารถใช้งานได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย

ระบบปฏิบัติการลีนุกซ์สามารถทำงานได้บน ซีพียู หลายตระกูล เช่น อินเทล (pc intel) ดิจิตอล (digital alpha computer) และ ซันสปาร์ค (sun sparc) ถึงแม้ว่าในขณะนี้ลีนุกซ์ยังไม่สามารถแทนที่ระบบปฏิบัติการวินโดว์บนพีซีได้หมดก็ตาม แต่ผู้ใช้จำนวนมากได้หันมาใว้และช่วยพัฒนาโปรแกรมประยุกต์บนลีนุกซ์กันมากขึ้น


1.5 แมคอินทอช (macintosh) เป็นระบบปฏิบัติการสำหรับเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ แมคอินทอช ส่วนมาก นำไปใช้งานด้านกราฟิก ออกแบบและจัดแต่งเอกสาร นิยมใช้ในสำนักพิมพ์ต่างๆ นอกจากระบบปฏิบัติการที่กล่าวมาแล้วยังมีระบบปฏิบัติการอีกมากมาย เช่น ระบบปฎิบัติการที่ใช้ในเครือข่ายคอมพิวเตอร์ เพื่อให้คอมพิวเตอร์ ทำงานร่วมกันเป็นระบบ เช่น ระบบปฏิบัติการเน็ตแวร์ นอกจากนี้ยังมีระบบปฏิบัติการที่ใช้งานเฉพาะกับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่สร้างขึ้นมาเพื่องานใดงานหนึ่งโดยเฉพาะ ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้ในห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ในสถาบันการศึกษา


ชนิดของระบบปฏิบัติการ จำแนกตามการใช้งานสามมารถจำแนกได้เป็น 3 ชนิด ด้วยกันคือ

1.ประเภทใช้งานเดียว ( single-tasking ) ระบบปฏิบัติการประเภทนี้จะกำหนดให้คอมพิวเตอร์ใช้งานได้ครั้งละหนึ่งงานเท่านั้น ใช้ในเครื่องขนาดเล็กอย่างไมโครคอมพิวเตอร์ เช่น ระบบปฏิบัติการดอส เป็นต้น
2. ประเภทใช้หลายงาน (multi- taking) ระบบปฏิบัติการประเภทนี้สามารถควบคุมการทำงานพร้อมกันหลายงานในขณะเดียวกัน ผู้ใช้สามารถทำงานกับซอฟต์แวร์ประยุกต์ได้หลายชนิดในเวลาเดียวกัน เช่น ระบบปฏิบัติการ windows 98 ขึ้นไป และ unix เป็นต้น

3.ประเภทใช้งานหลายคน (multi user) ในหน่วยงานบางแห่งอาจใช้คอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ทำหน้าที่ประมวลผล ทำให้ในขณะใดขณะหนึ่งที่มีผู้ใช้คอมพิวเตอร์พร้อมกันหลายคน แต่ละคนจะมีสถานีงานของตนเองเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ จึงต้องใรบบปฎิบัติการที่มีความสามารถสูง เพื่อให้ผู้ใช้ทุกคนสามารถทำงานเสร็จในเวลา เช่น ระบบปฏิบัติการ windows nt และ unix เป็นต้น




2.ตัวแปลภาษา

การพัฒนาซอฟแวร์ต้องอาศัยซอฟแวร์ที่ใช้ในการแปลภาษาระดับสูงให้เป็นภาเครือง

ภาษาระดับสูงมีหลายภาษาซึ่งสร้างขึ้นเพื่อให้ผู้เขียนโปรแกรมเขียนชุดคำสั่งได้ง่าย เข้าใจได้ และเพื่อให้สามารถปรับปรุงแก้ไขซอฟแวร์ในภายหลังได้
ภาษาระดับสูงที่พัฒนาขึ้นทุกภาษาต้องมีตัวแปลภาษา
ซึ่งภาษาระดับสูงได้แก่ basic,pascal,c และภาษาโลก เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังมีภาษาคอมพิวเตอร์ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันอีกมาก ได้แก่ fortran,cobol,และภาษาอาร์พีจี




ซอฟต์แวร์ประยุกต์ (applicafion software)


2.2 ซอฟต์แวร์ประยุกต์ (applicafion software)
ซอฟต์แวร์ที่ใช้ทำงานร่วมกับคอมพิวเตอร์ เพื่อใช้ทำงานเฉพาะด้าน เช่น การจัดพิมพ์รายงาน กานนำเสนองาน การจัดทำบัญชี การตกแต่งภาพ หรือการออกแบบเว็บไซต์ เป็นต้น


ประเภทของ ซอฟต์แวร์ประยุกต์ (applicafion software)

แบ่งตามลักษณะการผลิต จำแนกได้ 2 ประเภท คือ

1.ซอฟต์แวร์ที่พัฒนาขึ้นใช้เองโดยเฉพาะ (proprietary software)

2.ซอฟต์แวร์ที่หาซื้อได้ทั่วไป (customized package) และโปรแกรมมาตรฐาน (standard package)
ประเภทของ ซอฟต์แวร์ประยุกต์ (applicafion software)

แบ่งตามกลุ่มการใช้งาน จำแนกได้เป้น 3 กลุ่มใหญ่ๆ ดังนี้

1. กลุ่มการใช้งานทางด้านธุรกิจ (business)
2.กลุ่มการใช้งานด้านกราฟิกและมัลติมีเดีย (graphic and multimedia )
3.กลุ่มการใช้งานบนเว็บ (web and communications)
กลุ่มการใช้งานทางด้านกราฟิกและมัลติมีเดีย
ซอฟแวร์กลุ่มนี้ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อช่วยจัดการด้านงานกราฟิกและมัลติมีเดีย เพื่อให้งานง่ายขึ้น เช่น ใช้ตกแต่ง วาดรูป ปรับเสียง ตัดต่อภาพเคลื่อนไหว และการสร้างและออกแบบเว็บไซต์ ตัวอย่างเช่น
โปรแกรมงานออกแบบ อาทิ Microsoft Visio Professional
โปรแกรมตกแต่งภาพ อาทิ CorelDRAW, Adobe Photoshop
โปรแกรมตัดต่อวิดิโอและเสียง อาทิ Adobe Premiere, Pinnacle Studio DV
โปรแกรมสร้างสื่อมัลติมีเดีย อาทิ Adobe Authorware, Toolbook Instructor, Adobe Director
โปรแกรมสร้างเว็บ อาทิ Adobe Flash, Adobe Dreamweaver
กลุ่มการใช้งานบนเว็บและการติดต่อสื่อสาร
กลุ่มการใช้งานบนเว็บและการติดต่อสื่อสาร
โปรแกรมส่งข้อความด่วน (Instant Messaging) อาทิ MSN Messenger/ Windows Messenger, ICQ
โปรแกรมสนทนาบนอินเทอร์เน็ต อาทิ PIRCH, MIRCH
ความจำเป็นของการใช้ซอฟต์แวร์
การใช้ภาษาเครื่องนี้ถึงแม้ว่าคอมพิวเตอร์จะ
เข้าใจได้ทันที แต่มนุษย์ผู้ใช้จะมีข้อยุ่งยากมากเพราะเข้าใจและจดจำได้ยาก จึงมีผู้สร้างภาษาคอมพิวเตอร์ในรูปแบบที่เป็นตัวอักษร เป็นประโยคข้อความ ภาษาในลักษณะดังกล่าวนี้เรียกว่าภาษาคอมพิวเตอร์ระดับสูง ภาษาระดับสูงมีอยู่มากมาย บางภาษามีความเหมาะสมกับการใช้สั่งงานการคำนวณทางคณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ บางภาษามีความเหมาะสมไว้ใช้สั่งงานทางด้านการจัดการข้อมูล
ซอฟต์แวร์และภาษาคอมพิวเตอร์
เมื่อมนุษย์ต้องการใช้คอมพิวเตอร์ช่วยในการทำงาน มนุษย์จะต้องบอกขั้นตอนวิธีการให้คอมพิวเตอร์ทราบการที่บอกสิ่งที่มนุษย์เข้าใจให้คอมพิวเตอร์รับรู้ และทำงานได้อย่างถูกต้อง จำเป็นต้องมีสื่อกลาง ถ้าเปรียบเทียบกับชีวิตประจำวันแล้ว เรามีภาษาที่ใช้ในการติดต่อซึ่งกันและกัน เช่นเดียวกันถ้ามนุษย์ต้องการจะถ่ายทอดความต้องการให้คอมพิวเตอร์รับรู้ และปฏิบัติตามจะต้องมีสื่อกลางสำหรับการติดต่อเพื่อให้คอมพิวเตอร์รับรู้ เราเรียกสื่อกลางนี้ว่า ภาษาคอมพิวเตอร์
ภาษาคอมพิวเตอร์ในแต่ละยุคประกอบด้วย
ภาษาเครื่อง (Machine Languages)
เนื่องจากคอมพิวเตอร์ทำงานด้วยสัญญาณทางไฟฟ้า ใช้แทนด้วยตัวเลข 0 และ 1 ได้ ผู้ออกแบบคอมพิวเตอร์ใช้ตัวเลข 0 และ 1 นี้เป็นรหัสแทนคำสั่งในการสั่งงานคอมพิวเตอร์ รหัสแทนข้อมูลและคำสั่งโดยใช้ระบบเลขฐานสองนี้ คอมพิวเตอร์สามารถเข้าใจได้ เราเรียกเลขฐานสองที่ประกอบกันเป็นชุดคำสั่งและใช้สั่งงานคอมพิวเตอร์ว่าภาษาเครื่อง
การใช้ภาษาเครื่องนี้ถึงแม้คอมพิวเตอร์จะเข้าใจได้ทันทีแต่มนุษย์ผู้ใช้จะมีข้อยุ่งยากมาก เพราะเข้าใจและจดจำได้ยาก จึงมีผู้สร้างภาษาคอมพิวเตอร์ในรูปแบบอื่นที่เป็นตัวอักษร
ภาษาแอสเซมบลี (Assembly Languages)
เป็นภาษาคอมพิวเตอร์ในยุคที่ 2 ถัดจากภาษาเครื่อง ภาษาแอสเซมบลีช่วยลดความยุ่งยากลงในการเขียนโปรแกรมเพื่อติดต่อกับคอมพิวเตอร์
แต่อย่างไรก็ตามภาษาแอสเซมบลีก็ยังมีความใกล้เคียงภาษาเครื่องอยู่มาก และจำเป็นต้องใช้ตัวแปลภาษาที่เรียกว่าแอสเซมเบลอร์(Assembler) เพื่อแปลชุดภาษาแอสเซมบลีให้เป็นภาษาเครื่อง

ภาษาระดับสูง (High-Level Languages)
เป็นภาษาคอมพิวเตอร์ในยุคที่ 3 เริ่มมีการใช้ชุดคำสั่งที่เรียกว่า Statements ที่มีลักษณะเป็นประโยคภาษาอังกฤษ ทำให้ผู้ที่เขียนโปรแกรมสามารถเข้าใจชุดคำสั่งเพื่อสั่งให้คอมพิวเตอร์ทำงานง่ายขึ้น ผู้คนทั่วไปสามารถเรียนรู้และเขียนโปรแกรมได้ง่ายขึ้น เนื่องจากภาษาระดับสูงใกล้เคียงภาษามนุษย์ ตัวแปลภาษาระดับสูงเพื่อให้เป็นภาษาเครื่องนั้นมีอยู่ 2 ชนิด ด้วยกัน คือ คอมไพเลอร์ (Compiler) และ อินเทอร์พรีเตอร์ (Interpreter)
คอมไพเลอร์ จะทำการแปลโปรแกรมที่เขียนเป็นภาษาระดับสูงทั้งโปรแกรมให้เป็นภาษาเครื่องก่อน แล้วจึงให้คอมพิวเตอร์ทำงานตามภาษาเครื่องนั้น
อินเทอร์พรีเตอร์ จะทำการแปลทีละคำสั่ง แล้วให้คอมพิวเตอร์ทำตามคำสั่งนั้น เมื่อทำเสร็จแล้วจึงมาทำการแปลคำสั่งลำดับต่อไป ข้อแตกต่างระหว่างคอมไพเลอร์กับอินเทอร์พรี เตอร์จึงอยู่ที่การแปลทั้งโปรแกรมหรือแปลทีละคำสั่ง

วันอังคารที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2555


ระบบเครือข่ายและระบบอินเตอร์เน็ต
ระบบสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์
เครดิตรูป ::http://portal.in.th/eleccom57/pages/6026/

การทำงานของระบบ Network และ Internet

โครงสร้างของเครือข่ายคอมพิวเตอร์
1. เครือข่ายเฉพาะที่ (Local Area Network : LAN) เป็นเครือข่ายที่มักพบเห็นกันในองค์กรโดยส่วนใหญ่ลักษณะของการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เป็นวง LAN
จะอยู่ในพื้นที่ใกล้ ๆ กัน เช่น อยู่ภายในตึกเดียวกัน เป็นต้น
2. เครือข่ายเมือง (Metropolitan Area Network : MAN)
เป็นกลุ่มของเครือข่าย LAN ที่นำมาเชื่อมต่อกันเป็นวงที่ใหญ่ขึ้น ภายในบริเวณพื้นที่ใกล้เคียง เช่น ในเมืองเดียวกัน เป็นต้น
3. เครือข่ายบริเวณกว้าง ( Wide Area Network : WAN)
เป็นเครือข่ายที่ใหญ่ขึ้นไปอีกระดับ โดยเป็นการรวมเครือข่ายทั้ง LAN และ MAN มาเชื่อมต่อกันเป็นเครือข่ายเดียว ดังนั้นเครือข่ายนี้จึงครอบคลุมพื้นที่กว้าง บางครั้งครอบคลุมไปทั่วประเทศ หรือทั่วโลก อย่างเช่น อินเตอร์เน็ต ก็จัดว่าเป็นเครือข่าย WAN ประเภทหนึ่ง แต่เป็นเครือข่ายสาธารณะที่ไม่มีใครเป็นเจ้าของ
โครงสร้างของเครือข่าย (Network Topology) หมายถึง รูปแบบการจัดวางคอมพิวเตอร์ และการเดินสายสัญญานคอมพิวเตอร์ในเครือข่าย รวมถึงหลักการไหลเวียนข้อมูลในเครือข่ายด้วย โดยแบ่งโครงสร้างเครือข่ายหลัก แบบ คือ
1.
 เครือข่ายแบบบัส (Bus Network) เป็นเครือข่ายที่เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่าง ๆ ด้วยสายเคเบิ้ลยาว ต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ โดยจะมีคอนเน็กเตอร์เป็นตัวเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์เข้ากับสายเคเบิ้ล ในการส่งข้อมูล จะมีคอมพิวเตอร์เพียงตัวเดียวเท่านั้นที่สามารถส่งข้อมูลได้ในช่วงเวลาหนึ่งๆ การจัดส่งข้อมูลวิธีนี้จะต้องกำหนดวิธีการ ที่จะไม่ให้ทุกสถานีส่งข้อมูลพร้อมกัน เพราะจะทำให้ข้อมูลชนกัน วิธีการที่ใช้อาจแบ่งเวลาหรือให้แต่ละสถานีใช้ความถี่ สัญญาณที่แตกต่างกัน การเซตอัปเครื่องเครือข่ายแบบบัสนี้ทำได้ไม่ยากเพราะคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์แต่ละชนิด ถูกเชื่อมต่อด้วยสายเคเบิ้ลเพียงเส้นเดียวโดยส่วนใหญ่เครือข่ายแบบบัส มักจะใช้ในเครือข่ายขนาดเล็ก ซึ่งอยู่ในองค์กรที่มีคอมพิวเตอร์ใช้ไม่มากนัก
2. เครือข่ายแบบดาว (Star Network) เป็นเครือข่ายที่เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ เข้ากับอุปกรณ์ที่เป็น จุดศูนย์กลาง ของเครือข่าย โดยการนำสถานีต่าง ๆ มาต่อร่วมกันกับหน่วยสลับสายกลางการติดต่อสื่อสารระหว่างสถานีจะกระทำได้ ด้วยการ ติดต่อผ่านทางวงจรของหน่วนสลับสายกลางการทำงานของหน่วยสลับสายกลางจึงเป็นศูนย์กลางของการติดต่อ วงจรเชื่อมโยงระหว่างสถานีต่าง ๆ ที่ต้องการติดต่อกัน
3. เครือข่ายแบบวงแหวน (Ring Network) เป็นเครือข่ายที่เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ด้วยสายเคเบิลยาวเส้นเดียว ในลักษณะวงแหวน การรับส่งข้อมูลในเครือข่ายวงแหวน จะใช้ทิศทางเดียวเท่านั้น เมื่อคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งส่งข้อมูล มันก็จะส่งไปยังคอมพิวเตอร์เครื่องถัดไป ถ้าข้อมูลที่รับมาไม่ตรงตามที่คอมพิวเตอร์เครื่องต้นทางระบุ มันก็จะส่งผ่านไปยัง คอมพิวเตอร์เครื่องถัดไปซึ่งจะเป็นขั้นตอนอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะถึงคอมพิวเตอร์ปลายทางที่ถูกระบุตามที่อยู่ จากเครื่องต้นทาง

 1. แบบดาว เป็นแบบการต่อสายเชื่อมโยง โดยการนำสถานีต่างๆ มาต่อร่วมกันกับหน่วยสลับสายกลาง การติดต่อสื่อสารระหว่างสถานีจะกระทำได้ด้วยการติดต่อผ่านทางวงจรของหน่วยสลับสายกลาง การทำงานของหน่วยสลับสายกลางจึงคล้ายกับศูนย์กลางของการติดต่อวงจรเชื่อมโยงระหว่างสถานีต่างๆ ที่ต้องการติดต่อกัน
 
ลักษณะการทำงาน


เป็นการเชื่อมโยงการติดต่อสื่อสารที่มีลักษณะคล้ายรูปดาว หลายแฉก โดยมีสถานีกลาง หรือฮับ เป็นจุดผ่านการติดต่อกันระหว่างทุกโหนดในเครือข่าย สถานีกลางจึงมีหน้าที่เป็นศูนย์ควบคุมเส้นทางการสื่อสาร ทั้งหมด นอกจากนี้สถานีกลางยังทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางคอยจัดส่งข้อมูลให้กับโหนดปลายทางอีกด้วย การสื่อสารภายใน เครือข่ายแบบดาว จะเป็นแบบ 2 ทิศทางโดยจะอนุญาตให้มีเพียงโหนดเดียวเท่านั้นที่สามารถส่งข้อมูลเข้าสู่เครือข่ายได้ จึงไม่มีโอกาสที่หลายๆ โหนดจะส่งข้อมูลเข้าสู่เครือข่ายในเวลาเดียวกัน เพื่อป้องกันการชนกันของสัญญาณข้อมูล เครือข่ายแบบดาว เป็นโทโปโลยีอีกแบบหนึ่งที่เป็นที่นิยมใช้กันในปัจจุบัน


2. แบบวงแหวน เป็นแบบที่สถานีของเครือข่ายทุกสถานีจะต้องเชื่อมต่อกับเครื่องขยายสัญญาณของตัวเอง โดยจะมีการเชื่อมโยงเครื่องขยายสัญญาณของทุกสถานีเข้าด้วยกันเป็นวงแหวน เครื่องขยายสัญญาณเหล่านี้จะมีหน้าที่ในการรับข้อมูลจากเครื่องคอมพิวเตอร์ของตัวเองหรือจากเครื่องขยายสัญญาณตัวก่อนหน้าและส่งข้อมูลต่อไปยังเครื่องขยายสัญญาณตัวถัดไปเรื่อย ๆ เป็นวง หากข้อมูลที่ส่งเป็นของสถานีใด เครื่องขยายสัญญาณของสถานีนั้นก็รับและส่งให้กับสถานีนั้น เครื่องขยายสัญญาณจะต้องมีการตรวจสอบข้อมูลที่ได้รับว่าเป็นของตนเองหรือไม่ด้วย ถ้าใช่ก็รับไว้ ถ้าไม่ใช่ก็ส่งต่อไป


ลักษณะการทำงาน
เป็นการเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่างๆ เข้ากันเป็นวงกลม ข้อมูลข่าวสารจะถูกส่งจากโหนดหนึ่งไปยังอีกโหนดหนึ่ง วนอยู่ในเครือข่ายไปใน ทิศทางเดียวเหมือนวงแหวน (ในระบบเครือข่ายรูปวงแหวนบางระบบสามารถส่งข้อมูลได้สองทิศทาง) ในแต่ละโหนดหรือสถานี จะมีรีพีตเตอร์ประจำโหนด 1 ตัว ซึ่งจะทำหน้าที่เพิ่มเติมข่าวสารที่จำเป็นต่อการ สื่อสาร ในส่วนหัวของแพ็กเกจข้อมูล สำหรับการส่งข้อมูลออกจากโหนด และมีหน้าที่รับแพ็กเกจข้อมูลที่ไหลผ่านมาจากสายสื่อสาร เพื่อตรวจสอบว่าเป็นข้อมูลที่ส่งมาให้โหนดตนหรือไม่ ถ้าใช่ก็จะคัดลอกข้อมูลทั้งหมดนั้นส่งต่อไปให้กับโหนดของตน แต่ถ้าไม่ใช่ก็จะปล่อยข้อมูลนั้นไปยังรีพีตเตอร์ของโหนดถัดไป

3. แบบบัสเป็นเครือข่ายที่เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์ต่าง ๆ ด้วยสายเคเบิ้ลยาวต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ โดยมีตัวเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์เข้ากับสายเคเบิ้ลในการส่งข้อมูลจะมีคอมพิวเตอร์เพียงตัวเดียวเท่านั้นที่สามารถส่งข้อมูลได้ในช่วงเวลาหนึ่ง ๆ การจัดส่งข้อมูลวิธีนี้มีวิธีการที่จะไม่ให้ทุกสถานีส่งข้อมูลพร้อมกันเพราะจะทำให้ข้อมูลชนกันการติดตั้งเครือข่ายแบบนี้ทำได้ไม่ยากเพราะคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์แต่ละชนิดถูกเชื่อมต่อด้วยสายเคเบิ้ลเพียงเส้นเดียวโดยส่วนใหญ่เครือข่ายแบบบัสมักจะใช้ในเครือข่ายขนาดเล็ก ซึ่งอยู่ในองค์กรที่มีเครื่อง คอมพิวเตอร์ใช้ไม่มากนัก
 

ลักษณะการทำงาน
อุปกรณ์ทุกชิ้นหรือโหนดทุกโหนด ในเครือข่ายจะต้องเชื่อมโยงเข้ากับสายสื่อสารหลักที่เรียกว่า"บัส" (BUS) เมื่อโหนดหนึ่งต้องการจะส่งข้อมูลไปให้ยังอีกโหนด หนึ่งภายในเครือข่าย จะต้องตรวจสอบให้แน่ใจก่อนว่าบัสว่างหรือไม่ ถ้าหากไม่ว่างก็ไม่สามารถจะส่งข้อมูลออกไปได้ ทั้งนี้เพราะสายสื่อสารหลักมีเพียงสายเดียว ในกรณีที่มีข้อมูลวิ่งมาในบัส ข้อมูลนี้จะวิ่งผ่านโหนดต่างๆ ไปเรื่อยๆ ในขณะที่แต่ละโหนดจะคอยตรวจสอบข้อมูลที่ผ่านมาว่าเป็นของตนเองหรือไม่ หากไม่ใช่ ก็จะปล่อยให้ข้อมูลวิ่งผ่านไป แต่หากเลขที่อยู่ปลายทาง ซึ่งกำกับมากับข้อมูลตรงกับเลขที่อยู่ของตน โหนดนั้นก็จะรับข้อมูลเข้าไป

การประยุกต์ใช้งานของระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์
ระบบเครือข่ายทำให้เกิดการสื่อสาร และการแบ่งปันการใช้ทรัพยากรระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ ซึ่งจะ หมายความรวมถึงการสื่อสาร และการแบ่งปันการใช้ข้อมูลระหว่างบุคคลด้วย ซึ่งทั้งหมดนี้คืองานของระบบเครือข่าย

รูปแบบการใช้งานของระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์
ระบบเครือข่ายแบ่งตามลักษณะการทำงาน ได้เป็น 3 ประเภทคือ
1. ระบบเครือข่ายแบบรวมศูนย์กลาง (Centrallized Networks)
2. ระบบเครือข่ายแบบ Peer-to Peer
3. ระบบเครือข่ายแบบ Client/Server
1.ระบบเครือข่ายแบบรวมศูนย์กลาง
    เป็นระบบที่มีเครื่องหลักเพียงเครื่องเดียวที่ใช้ในการประมวลผล ซึ่งจะตังอยู่ที่ศูนย์กลางและมีการเชื่อมต่อไปยังเครื่องเทอร์มินอลที่อยู่รอบๆ โดยการเดินสายเคเบิลเชื่อมต่อกันโดยตรง เพื่อให้เครื่องเครื่องเทอร์มินอลสามารถเข้าใช้งาน โดยส่งคำสั่งต่างๆ มาประมวลผลที่เครื่องกลาง ซึ่งมักเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์เมนเฟรมประสิทธิภาพสูง




2.ระบบเครือข่าย Peer-to-Peer
    แต่ละสถานีงานบนระบบเครือข่าย Peer-to-Peer จะมีความเท่าเทียมกันสามารถที่จะแบ่งปันทรัพยากรให้แก่กันและกันได้ เช่นการใช้เครื่องพิมพ์หรือแฟ้มข้อมูลร่วมกันในเครือข่าย ในขณะเดียวกันเครื่องแต่ละสถานีงานก็จะมีขีดความสามารถในการทำงานได้ด้วยตัวเอง (Stand Alone) คือจะต้องมีทรัพยากรภายในของตัวเองเช่น ดิสก์สำหรับเก็บข้อมูล หน่วยความจำที่เพียงพอ และมีความสามารถในการประมวลผลข้อมูลได้





3.ระบบเครือข่ายแบบ Client/Server
ระบบ Client/Server สามารถสนับสนุนให้มีเครื่องลูกข่ายได้เป็นจำนวนมาก และสามารถเชื่อมต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์ได้หลายแพลตฟอร์ม ระบบนี้จะทำงานโดยมีเครื่อง Server ที่ให้บริการ เป็นศูนย์กลางอย่างน้อย 1 เครื่อง และมีการบริหารจัดการทรัพยากรต่างๆ จากส่วนกลาง ซึ่งคล้ายกับระบบเครือข่ายแบบรวมศูนย์กลางแต่สิ่งที่แตกต่างกันก็คือ เครื่องที่ทำหน้าที่ให้บริการในระบบ Client/Server นี้จะเป็นเครื่องที่มีราคาไม่แพงมาก ซึ่งอาจใช้เพียงเครื่อง ไมโครคอมพิวเตอร์สมรรถนะสูงในการควบคุมการให้บริการทรัพยากรต่างๆ นอกจากนี้เครื่องลูกข่ายยังจะต้องมีความสามารถในการประมวลผล และมีพื้นที่สำหรับจัดเก็บข้อมูลท้องถิ่นเป็นของตนเองอีกด้วย ระบบเครือข่ายแบบ Cleint/Server เป็นระบบที่มีความยืดหยุ่นสูง สนับสนุนการทำงานแบบ Multiprocessor สามารถเพิ่มขยายขนาดของจำนวนผู้ใช้ได้ตามต้องการ นอกจากนี้ยังสามารถเพิ่มจำนวนเครื่อง Servers สำหรับให้บริการต่างๆ เพื่อช่วยกระจายภาระของระบบได้ ส่วนข้อเสียของระบบนี้ก็คือ มีความยุ่งยากในการติดตั้งมากกว่าระบบ Peer-to-Peer รวมทั้งต้องการบุคลากรเพื่อการบริหารจัดการระบบโดยเฉพาะอีกด้วย